เกณฑ์การวัดประสทธิภาพของเครือข่าย

  1. ระบุเป้าหมาย และนิยามระบบ: ขั้นตอนแรกของการประเมินประสิทธิภาพใดๆ จะต้องเริ่มจากการระบุเป้าหมายในการประเมิน และนิยามองค์ประกอบของระบบโดยแบ่งขอบเขตให้แน่ชัด บนระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์เดียวกัน ซึ่งการนิยามระบบอาจแตกต่างกันถ้าเป้าหมายในการศึกษาต่างกัน
  2. แจกแจงบริการ และผลลัพธ์: ทุกๆ ระบบจะมีบริการของระบบนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์จะบริการการส่งเพ็คแกตข้อมูล ไปยังสถานีปลายทางต่างๆ ระบบฐานข้อมูลจะทำการตอบสนองการร้องขอบริการข้อมูล ตัวประมวลผลจะทำการประมวลผลคำสั่งต่างๆ ที่ระบุไว้ในโปรแกรม เมื่อผู้ใช้งานทำการร้องขอบริการเหล่านี้ จะสามารถเกิดผลลัพธ์ได้ต่างๆ กัน ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะเป็นที่ต้องการหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ระบบฐานข้อมูลอาจตอบสนองการร้องขอบริการได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง หรือไม่ตอบสนองเลย การเขียน และแจกแจงบริการ และผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จะเป็นประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ในการเลือกตัววัดประสิทธิภาพและภาระงานที่ถูกต้อง
  3. เลือกตัววัดประสิทธิภาพ: ลำดับต่อไปในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพได้แก่ การเลือกเกณฑ์หรือหลักการในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ. หลักการดังกล่าวเรียกว่า ``ตัววัดประสิทธิภาพ'' (Performance Metrics) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัววัดประสิทธิภาพจะมีความสัมพันธ์กับ ความเร็ว (Speed), ความถูกต้อง (Reliability), และ ความสามารถในการให้บริการของระบบ (Availability) ยกตัวอย่างเช่น ประสิทธิภาพของเครือข่าย อาจวัดอยู่ในรูปของความเร็ว (ได้แก่ อัตราการส่งข้อมูล(Throughput) และความล่าช้าในการตอบสนอง (Response Time)), ความถูกต้อง (อัตราความผิดพลาดในการส่งข้อมูล, Error Rate), และความสามารถในการบริการส่งผ่านข้อมูล (Bandwidth) ประสิทธิภาพของตัวประมวลผลอาจวัดอยู่ในรูปของความเร็วในการประมวลผลคำสั่งต่างๆ
  4. แจกแจงพารามิเตอร์ (Parameter): ในการประเมินประสิทธิภาพ จำเป็นจะต้องแจกแจงพารามิเตอร์ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งพารามิเตอร์ดังกล่าวอาจแบ่งเป็น
    • พารามิเตอร์ของระบบ: รวมถึงพารามิเตอร์ของฮาร์ดแวร์ และพารามิเตอร์ของซอฟท์แวร์
    • พารามิเตอร์ของภาระงาน: พารามิเตอร์ภาระงานจะเป็นคุณลักษณะของความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    การแจกแจงพารามิเตอร์ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ เมื่อเริ่มทำการวิเคราะห์ เนื่องจากผู้ประเมินอาจพบว่ามีพารามิเตอร์อื่นๆ ที่ เกี่ยวข้องต่อประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ระหว่างดำเนินการประเมิน จึงสามารถเพิ่มเติม หรือตัดพารามิเตอร์ให้เหมาะสมได้
  5. เลือกเฟคเตอร์ในการศึกษา: รายการพารามิเตอร์ที่ได้แจกแจงสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก จะมีค่าคงที่ในขณะที่ทำการประเมิน กลุ่มที่สอง จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าในขณะที่ทำการประเมิน กลุ่มที่สองนั้นเราเรียกว่า ``เฟคเตอร์'' (Factor) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงค่าต่างๆ ค่าดังกล่าวเรียกว่า ``ระดับ'' (Level) โดยทั่วไปจำนวนเฟคเตอร์ และจำนวนระดับที่จะต้องทำการประเมินประสิทธิภาพมีมากเกินกว่าที่จะสามารถศึกษาได้ทั้งหมด จึงควรจะเริ่มจาก จำนวนน้อยก่อน และขยายเพิ่มเติม ถ้าสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น การศึกษาระบบ ที่มีจำนวนผู้ใช้งานต่างกัน อาจจะเริ่มจากสองระดับ คือ จำนวนผู้ใช้น้อย และจำนวนผู้ใช้มากในการศึกษา พารามิเตอร์ที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพมักจะถูกเลือกให้เป็นเฟคเตอร์ ในการเลือกเฟคเตอร์ยังต้องคำนึงถึง ประเด็นข้อจำกัดทางด้าน
    • เศรษฐกิจ,
    • การเมือง, และ
    • เทคโนโลยี
    ประกอบกัน เพื่อที่จะสามารถให้ข้อมูลต่อผู้ที่ตัดสินใจ และเสนอ การแก้ปัญหาที่ยอมรับได้ และใช้งานได้จริง
  6. การเลือกเทคนิคการประเมินเทคนิคการประเมิน: เทคนิคการประเมินประสิทธิภาพประกอบด้วย
    1. การวัดจากระบบจริง (Measurement),
    2. การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ (Simulation),
    3. การวิเคราะห์ (Analytical)
    การเลือกเทคนิคต่างๆ ขึ้นอยู่กับเวลาที่มี และทรัพยากรที่สามารถหาได้ในการแก้ปัญหา อีกทั้งระดับของความถูกต้องที่ต้องการ
  7. การเลือกภาระงาน: ภาระงานประกอบด้วย รายการของบริการที่ระบบมีให้กับผู้ใช้ หรือระบบภายนอก ตัวอย่างเช่น ภาระงานที่เปรียบเทียบฐานข้อมูลอาจประกอบด้วย การร้องขอข้อมูลต่างๆ ซึ่งการเลือกภาระงานนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคการประเมินที่เลือกไว้ ภาระงานอาจจะมีอยู่หลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
    • Analytical: ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ภาระงานมักจะถูกเขียนอยู่ในรูปของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
    • Simulation: ในการจำลองประสิทธิภาพ ภาระงานอาจจะนำสภาพการร้องขอข้อมูลที่วัดมาจากระบบจริง ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
    • Measurement: ในการวัดจากระบบจริง ภาระงานอาจจะเป็นโปรแกรม หรือคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนให้ระบบ
    ซึ่งทุกกรณีการเลือกภาระงานใดๆ จำเป็นต้องเลือกภาระงานที่แสดงถึง หรือใกล้เคียงกับ ภาระงานที่เกิดขึ้นจริงให้มากที่สุด
  8. การออกแบบการทดลอง: หลังจากที่ได้รายการของเฟคเตอร์ และระดับช่วงการทำงาน เราจะสามารถเริ่มออกแบบการทดลอง เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลประสิทธิภาพของระบบให้มากที่สุด ด้วยความพยายามต่ำที่สุด โดยทั่วไปเรามักจะทำการทดลองสองขั้นตอน
    • ในขั้นแรก เราอาจจะศึกษาระบบที่มีเฟคเตอร์จำนวนมาก แต่มีจำนวนระดับในการทดสอบน้อย เพื่อที่จะหาผลกระทบของเฟคเตอร์ต่อการทำงานของระบบ
    • ในขั้นตอนที่สองเราจึงจะสามารถลดจำนวนของเฟคเตอร์ลง และเพิ่มจำนวนระดับเพื่อจะศึกษารายละเอียดของผลกระทบจากเฟคเตอร์ที่สำคัญ
  9. การวิเคราะห์และตีความผลการทดลอง: การทดลองใดๆ นั้น ผลที่ได้จากการทดลองไม่แน่นักจะว่าจะถูกต้องเสมอไป จำเป็นจะต้องมีการทดลองซ้ำ และใช้เทคนิคทางสถิติเข้ามาเข้าหาความถูกต้อง การตีความหมายของผลการทดลองมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การประเมินประสิทธิภาพเพียงแค่หาผลการทดสอบ ไม่ใช่ผลสรุป ผลการทดสอบจะถูกใช้เป็นพื้นฐานเพื่อให้ผู้ประเมิน หรือผู้ตัดสินใจสรุปผลอีกครั้ง
  10. การนำเสนอผลการประเมิน: ขั้นตอนสุดท้ายในการประเมินใดๆ คือ การสื่อสารผลการประเมินให้กับบุคคลอื่นที่ทำหน้าที่ตัดสินใจ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอผลการประเมินให้สามารถเข้าใจได้ง่าย การนำเสนอผล การประเมินจึงมักทำในรูปของกราฟิก หรือแผนภาพ โดยไม่มีข้ออธิบายทางสถิติที่ยากต่อการเข้าใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น